รัฐบาลปัจจุบัน ได้ตั้งคณะกรรมการ AI แห่งชาติชุดใหม่ หวังว่า สิ่งที่เราพูดคุยเป็นคำแนะนำที่ดีต่อการพัฒนา AI ในประเทศไทย
สรุปจากงาน DCT Seminar: AI จากต่างชาติ ครอบงำประเทศไหม?
โดย
- ดร.วีระ วีระกุล รองประธานสภาดิจิทัลฯ กล่าวเปิดงาน
- ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการสภาดิจิทัลฯ และเป็น Moderator
- ดร.อักฤทธิ์ สังข์เพ็ชร ผู้อำนวยการ สถาบันวิศวกรรม AI มหาวิทยาลัย CMKL
- ศ.ดร.วิเชียร เปรมชัยสวัสดิ์ รองประธานสภาดิจิทัลฯ
- ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอแอพพ์ เทคโนโลยี จำกัด
- ดร.เทพชัย ทรัพย์นิธิ นายกสมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย AIAT
- คุณทัชพล ไกรสิงขร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี กลุ่มบริษัทและหัวหน้าฝ่าย AI Labs ของ AMITY Solutions
ดร.อธิปถาม 2 คำถาม
คำถามที่ 1 ท่านคิดว่า เราจำเป็นต้องมี Sovereign AI ไหม เพราะอะไร และขอบเขตของ Sovereign AI อยู่ตรงไหน คนไทยต้องเขียนเองหรือ เราควรจะนำสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่ถนัดและเน้นสิ่งที่เราถนัด เพื่อลดช่องว่าง และภาษีจากต่างชาติ
คำถามที่ 2 เราควรจะทำอย่างไรให้มี Sovereign AI ในมุมมองที่ท่านอยากให้มี รวมถึงสิ่งที่อยากให้รัฐบาลทำ
เข้าคำถาม
คำถามที่ 1 ท่านคิดว่า เราจำเป็นต้องมี Sovereign AI ไหม เพราะอะไร และขอบเขตของ Sovereign AI อยู่ตรงไหน คนไทยต้องเขียนเองหรือ เราควรจะนำสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่ถนัดและเน้นสิ่งที่เราถนัด เพื่อลดช่องว่าง และภาษีจากต่างชาติ
ดร.อักฤทธิ์ บอกว่า เราจำเป็นต้องมี Sovereign AI เพื่อสร้างอธิปไตยทางเทคโนโลยี ลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ และใช้จุดแข็งของประเทศ เช่น ภาคเกษตรกรรม พัฒนา AI ที่ตอบโจทย์เฉพาะทาง และส่งเสริมทักษะและโครงสร้างพื้นฐานภายใน เพื่อลดช่องว่างเศรษฐกิจดิจิทัล และขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
ดร.เทพชัย บอกว่า ไทยเคยพลาดโอกาสหลายครั้ง เช่น SiamGURU ที่เริ่มทำ search engine ก่อน Google แต่สุดท้ายโดนกลืนไป ตอนนี้เป็นโอกาสใหม่ เพียงเปลี่ยน Mindset จากผู้ใช้เป็นผู้สร้าง ลงทุนจริงใน basic research และเทคโนโลยีพื้นฐาน เพื่อไม่ให้ผิดพลาดซ้ำอีกครั้ง
ดร.กอบกฤตย์ บอกว่า เราทำ Sovereign AI เพื่อรองรับความต้องการเฉพาะของไทย เช่น ภาษาถิ่นและระบบถอดเสียง 2 ภาษา ซึ่งต่างประเทศไม่สนใจ เพราะเรามีศักยภาพจริงในการสร้างเทคโนโลยีของตัวเอง ทีมเราเองก็กำลังพัฒนา SR ภาษาไทย-อังกฤษ ซึ่งสามารถชนะ Google ได้ 3% ใน Word Error Rate
ถ้าเราไม่เริ่มตอนนี้ เราจะตามหลังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียหรือเวียดนามไปมากกว่านี้แน่นอน อีกประเด็นสำคัญคือภาษาไทยถูกลดความสำคัญในสายตาบริษัทเทคฯ โลก ตอนนี้มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ได้รับการสนับสนุนก่อนไทย ดังนั้นถ้าหวังพึ่งต่างประเทศคงต้องรอ แทนที่จะผลักดัน AI ของเราเอง
ดร.ชาญวิทย์ บอกว่า บางเรื่อง เราควรจะมี Sovereign AI ตอบโจทย์ต่อ business และทันต่อการเปลี่ยนแปลงตลาด มองไทยอยู่ 2 ประเด็น คือ
ประเด็นที่ 1 การเติบโตเศรษฐกิจไทยในอนาคต
ประเด็นที่ 2 ภาพรวมความก้าวหน้าของการพัฒนาเศรษฐกิจ
ทำไมเราลดลง เพราะไม่มีอะไรใหม่ ๆ
AI คือโอกาสใหม่ ๆ ในการสร้างธุรกิจใหม่ เศรษฐกิจใหม่ และโอกาสให้คนรุ่นใหม่ ถ้าจะขยับด้านนี้ ต้องยืนบนไหล่ยักษ์ อย่าไปโดนยักษ์ ตอนทำ Product หากไม่มีคนทำ
SIam Cloud เคยทำ Search Engine และ Google ก็ทำเรื่องนี้
บางครั้งเราต้องเดาคู่แข่งว่า จะไปทิศทางไหน
ในบางเรื่องเราควรพัฒนาเอง เพื่อให้งานออกมามีประสิทธิภาพดีขึ้น สร้างโอกาสให้คนไทยได้จริง AI ไม่ได้จำกัดแค่สหรัฐฯ กับจีน เราก็มีโอกาสผลักดันของใหม่ๆ ได้เหมือนกัน ขอเพียงแค่เราหาที่ยืนของเราให้เจอ
คุณทัชพลตอบว่า Sovereign AI มี Layer GPU, Layer Application เลือกให้ถูกและทำ Strategy ให้ดี
ประเทศไทย ต้องพัฒนา 3 อย่าง
Step 1 Import ไทยเร็วและเก่งที่สุด
Step 2 การใช้ Aggregate คน เพื่อสร้าง AI
Step 3 Export มี Strategy ที่ดี หากใช้ทำเอง แล้วปล่อยในประเทศ ก็อีกเรื่องนึง
3 อย่างนี้ จะช่วยบอกว่า เราได้เปรียบ Product ด้าน Strategy ที่ดีกว่าคู่ข่งไหม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ หรือ เพิ่ม GDP ต้องตีตลาดต่างประเทศให้ได้ จะเป็นกลยุทธ์จะอีกแบบนึง
หลาย ๆ ภาคส่วนต้องโฟกัส อยู่ที่เราเลือกให้ถูก ไม่อย่างนั้นจะโดนต่างชาติยึดหรือครอบงำ
ศ.ดร.วิเชียรตอบว่า Sovereign AI ไม่ใช่แค่เรื่องพัฒนาหรือไม่พัฒนา แต่ต้องมีคนที่เข้าใจ เครื่องมือที่เพียงพอ ข้อมูลที่ใช้งานได้จริง และระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแรง พร้อมกฎหมายและนโยบายสนับสนุนจากรัฐบาล เพราะสุดท้าย สิ่งสำคัญที่สุดคือ “การศึกษา” ที่จะสร้างศักยภาพให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างแท้จริง
คำถามที่ 2 เราควรจะทำอย่างไรให้มี Sovereign AI ในมุมมองที่ท่านอยากให้มี รวมถึงสิ่งที่อยากให้รัฐบาลทำ
คุณทัชพล ตอบว่า คือ การสร้างตลาด หรือ demand ให้เกิดขึ้นจริง เช่นเดียวกับที่ประเทศจีนทำได้สำเร็จ
สิ่งที่จีนทำได้ดี:
1. กำหนดให้หน่วยงานรัฐทุกแห่ง “ต้องใช้ AI”
2. ต้องสามารถวัดผลได้
3. ต้องใช้เทคโนโลยีภายในประเทศเท่านั้น
ทั้ง 3 เส้นทาง ไม่ต้องหาเงินใหม่ แค่เปลี่ยนเส้นทางงบที่มีอยู่เดิม และการใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ National Security พวกเทคโนโลยีด้านภาษา หรือ AI ที่ใช้ประมวลผลข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลราชการหรือข้อมูลประชาชน สิ่งเหล่านี้ควรอยู่ภายใต้การควบคุมของประเทศเอง เช่น
หากออกนโยบายให้ ต้องผลิต GPU ในประเทศ ก็อาจไม่สำเร็จ เพราะเราไม่มีสเกลขนาดใหญ่พอ ประเทศไทยมีประชากร 70 ล้านคน GDP ต่อหัวน้อยกว่าจีนมาก จีนมีประชากร 1,400 ล้านคน มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าเราหลายเท่า นี่แหละ ทำไมเขาลงทุนสร้างเอง จีนแบบทำได้ทุกอย่างสร้างเองได้ทุกอย่าง เพราะว่าเขามีสเกล ที่จะทำให้ Product ของเรามีคุณภาพดี
ดร.ชาญวิทย์บอกว่า เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็ต้องรู้ว่า เทคโนฯ เปลี่ยนแปลงเร็ว จะวางกลยุทธ์อย่างไร เพื่อแข่งขันกับเจ้าอื่นได้
วางกลยุทธ์อย่างไร เพื่อแข่งขันกับเจ้าอื่นได้ด้วยการมอง 3 Layers
1. Startup / ผู้ประกอบการนวัตกรรม สร้างนวัตกรรมใหม่ พัฒนาเทคโนโลยี และเป็นฐานของ ecosystem
2. Corporate / องค์กรใหญ่ เปลี่ยน Mindset, สนับสนุน POC, สร้าง demand และ scale
3. ภาครัฐ กำหนดนโยบาย, สนับสนุนงบประมาณ, ผลักดัน national agenda
ดร.กอบกฤตย์ พูดต่อจาก ดร.ชาญวิทย์ว่า เราต้องมี หัวยุทธศาสตร์ ที่รวมทั้ง ecosystem นโยบายเผยแพร่ Data ของประเทศที่ชัดเจน และ ลงทุนพัฒนายุคลากรใน talent ที่เข้าใจ deep tech เพื่อให้คนไทยเข้าใจเทคโนโลยีจริงๆ และสามารถเป็น Supply Chain สำคัญในอนาคตได้
ดร.ชาญวิทย์ตอบว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมี R&D Mindset ต้องทำของยาก ต้องฝึกกินของขมบ้าง อย่าเอาแต่ทำอะไรที่เร็วๆ อร่อยๆ แบบฉาบฉวย และหากในประเทศไทย R&D Culture ยังไม่แข็งแรงพอ
ถ้าไม่มีแนวคิดนี้ในภาคเอกชนจริงๆ เราจะเหนื่อยและไปต่อไม่ได้ และงานวิจัยในมหาวิทยาลัย ก็สำคัญไม่แพ้กัน
ดร.เทพชัยบอกว่า สิ่งที่ต้องเสริมคือ:
- การเชื่อมโยงระหว่าง academia กับ industry
- การสนับสนุนโครงการวิจัยที่มี continuity (ทำต่อเนื่อง)
- การสร้างระบบนิเวศที่พร้อมรองรับ talent จากสถาบันการศึกษา
Talent ที่มีใจ แม้จะมีจำนวนไม่มาก แต่ก็สามารถสร้าง impact ได้
Continuity หรือการทำต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็นต่อความสำเร็จ
Data Sharing Policy ที่ปลอดภัยและชัดเจน จะช่วยให้เกิดการใช้งาน AI ได้จริง
ดร.อักฤทธิ์ตอบว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการสร้าง Talent
เราไม่สามารถพึ่งมหาลัยเพียงอย่างเดียว การผลิตบุคลากรใช้เวลานาน จำเป็นต้องมี collaboration ระหว่างภาครัฐและเอกชนจริงๆ
การทำงานร่วมกันต้องเริ่มจาก โจทย์ชัดเจน + ความร่วมมือจริง ระหว่างภาครัฐ เอกชน และ academia
พร้อมเปิดรับ talent ต่างชาติ สนับสนุนนักศึกษาผ่านโปรเจคจริง และปรับ mindset สู่การทำงานแบบเชื่อมโยงและเข้าถึง global network ได้ง่าย
ศ. ดร. วิเชียรตอบว่า ไม่ได้ให้ข้อแนะนำ เป็นการให้กำลังใจ เพราะโอกาสของไทยมีอยู่จริง ตัวอย่างที่เป็นแรงบันดาลใจ จาก Open Source สู่ Unicorn คือ บริษัทนึงในเยอรมนี ชื่อว่า Celonis เป็นเทคโนโลยีสาย Process Mining (ไม่ใช่ Data Mining) เริ่มมาจาก Open Source ก่อตั้งโดยเด็กหนุ่มเพียง 3 คน อายุประมาณ 20 กว่า พัฒนามาประมาณ 2 ปี บนฐานของ open source
ความสำเร็จของ Celonis:
ภายใน 3 ปีกลายเป็น Unicorn อีก 3 ปีถัดมา กลายเป็น Decacorn (มูลค่าตลาดกว่า $10,000 ล้าน) ตรงนี้แหละครับ ที่อยากให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่ได้เกี่ยวกับเงินหรือขนาด แต่มันอยู่ที่ Mindset และ โอกาส ประเทศไทยมีศักยภาพจริงๆ แค่ต้องการจังหวะและความกล้าพอที่จะก้าวไปอีก Step
ข้อสรุป:
ไทยอยู่ในจุดที่ดีในเอเชีย มีศักยภาพที่จะพัฒนา Sovereign AI และเป็นประเทศที่โดดเด่นเรื่อง AI-integrated software ตอนนี้คือญี่ปุ่น เกาหลี ส่วนใหญ่ในโลกยังเป็นฝั่งยุโรปและอเมริกา
Source:
จากงาน DCT Seminar: AI ต่างชาติ ครอบงำประเทศ?