ไทยต้องมี ผู้นำ/ทุน/ภาษี เอื้อให้ startup โตในไทย ไม่ไหลออก
สรุป Session: Future Ready Tech Workforce Thailand’s STEM Evolution จากงาน TRANSFORMING THAILAND: ปรับโฉมไทยสู่อนาคตและความยั่งยืน ของ TNN Tech ก้าวสู่ปีที่ 18 โดย
- รศ. ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)
- คุณณัชพัณณ์ โรจนธัญญะนันท์ AI Expert & Certified Trainer ของ Solutions IMPACT
- ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร นายกสมาคมผู้ประกอบการปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และผู้ก่อตั้งบริษัท iAPP Technology
- คุณชล วจนานนท์เป็น Moderator ดำเนินรายการใน Session นี้ครับ
- Session นี้อัดแน่นทั้งมุมมองนโยบายและประสบการณ์หน้างาน จากคนทำจริงหลายฟาก เพื่อชี้ทางพัฒนาแรงงานเทคของไทยให้พร้อมก้าวสู่อนาคต ไม่ใช่แค่ตามให้ทัน
ทำไม STEM ถึงสำคัญตอนนี้
- ประเทศจะหลุดกับดักรายได้ปานกลางได้ ต้องขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ซึ่งรากมาจาก STEM ทั้งชุด ไม่ใช่แค่ซื้อของต่างชาติมาใช้.
- รศ. ดร.ธีรณี บอกว่า หลุด middle-income trap ต้องใช้นวัตกรรม และนวัตกรรมส่วนใหญ่เกิดจาก STEM เราต้อง encourage, inspire ให้นักศึกษา เด็กน้อยตั้งแต่ประถม จะเห็นความสำคัญแล้วก็เห็น success case ของ STEM ในระดับนึง
- คุณชลตอบกลับไปว่า ไทยขึ้นชื่อว่าเป็น user/adopter ระดับต้นๆ ของโลก แต่ creator ยังน้อย
- ดร.กอบกฤตย์บอกว่า ความรู้ STEM ทำให้สร้างเครื่องมือ เพื่อ scale ผลิตภาพและ value กระโดดได้
- อาจารย์ปอมบ์บอกว่า สิ่งที่มันตอบโจทย์ STEM คือ การที่คนสามารถที่จะ fast track ตัวเองด้วย ด้วยระบบการศึกษาแบบนี้ มันทำให้คนก้าวไปข้างหน้าแล้วทันกับสิ่งที่กำลังมา
ภาพสถานการณ์ไทยทั้งจุดแข็ง–จุดอ่อน
- ไทยใช้เทคเยอะ ผู้ใช้มหาศาล แต่ยังขาด แบบอย่าง ให้คนอยากเดินสายนี้จริงจัง และระบบสนับสนุนที่ยอมให้ลองผิดลองถูก แต่ยังเกิดโมเดลลงทุนยัง กลัวความผิดพลาด ทำให้ deep tech โตยาก
- ดร.กอบกฤตย์บอกว่า ไทย ขาด local champion ที่ชัดเจน เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นใหม่
- รศ. ดร.ธีรณี บอกว่า ช่องว่างชัดระหว่าง เอกชนที่วิ่งไกล กับ ราชการที่ยังตั้งต้น
ตัวอย่างความคืบหน้าในไทย (เริ่มเห็นสัญญาณดี)
- ถึงยังใหม่ แต่มีการงอกของบริษัทและผลงาน AI ฝีมือไทยมากขึ้น เห็นทิศทางบวกชัดกว่าเดิม
- ดร.กอบกฤตย์ บริษัท AI ไทย จาก ~50 → ~200 ภายใน 3 ปี
ตัวอย่างงานจริง เช่น Open Thai GPT, Typhoon OCR/ASR, แชตบอทกฎหมาย อย่าง น้องทนอย, โซลูชัน สี่มุมเมือง ภาพรวมยัง early ต้องเร่งสร้างความต่างและคุณภาพ
การศึกษา จากห้องเรียนถึง Lifelong Learning
- การทำให้เด็ก เข้าใจ–ชอบ–ได้ลงมือ และทำให้ผู้ใหญ่ เรียนรู้ต่อเนื่องเป็นนิสัย ไม่ใช่เรียนเป็นช่วงๆ
- รศ. ดร.ธีรณี บอกว่า คุณจัดอบรมยังไงก็ไม่ทัน รัฐบาลเปลี่ยนหลักสูตรยังไงก็ไม่ทัน คุณต้องทำ Digital Platform ให้ทัน ทำ micro-module/ online platform ภาษาไทย map กับ learning outcome ของ สพฐ. ครูก็จะเป็น facilitator
- ดร.กอบกฤตย์บอกว่า ต้อง learning by doing ตั้งแต่มัธยม ให้เด็กโฟกัสสิ่งที่สนใจ
- อาจารย์ปอมบ์ บอกว่า จุดอ่อนใหญ่ คือ เด็กไทยยังขาด lifelong learning ต้องฝึกทำทุกวัน–พัฒนาเสมอ
ใช้ AI ในโรงเรียน: แบนหรือเปิด?
- รศ. ดร.ธีรณี บอกว่า ไม่แบน แต่ต้องใช้ให้ถูก โฟกัสที่กระบวนการคิด การอ้างอิง และการตรวจข้อเท็จจริง มากกว่าตัวงานปลายทาง.
- คุณชลเข้าใจว่า รับได้ถ้าเด็กใช้ AI เพื่อ คิด–ประยุกต์ ไม่ใช่ copy-paste
- อาจารย์ปอมบอกว่า ครูควร ตรวจพรอมป์/วิธีคิด/การ fact-check แทนดูแค่คุณภาพงาน
ตลาดแรงงาน: ช่องว่าง “คนไม่มีงาน–บริษัทหาคน”
- ฝั่งองค์กรใช้ AI เร็วขึ้น งานเร็วขึ้น ใครใช้ AI ไม่เป็นเสียเปรียบทันที จึงเกิดทั้งคนตกงาน และ บริษัทยังขาดคนพร้อมกัน สกิลไม่ตรง ความเร็วงานยุค AI ทำให้คนที่ใช้ AI เป็น ได้เปรียบชัด
- รศ. ดร.ธีรณี บอกว่า องค์กรใหญ่เริ่มใช้ Agent/AI แทนบางงาน แต่หลายหน่วยราชการยัง ถามว่า AI คืออะไร
- ดร.กอบกฤตย์บอกว่า 55% เด็กจบใหม่ตกงาน เพราะผลิตคน ไม่ตรง ความต้องการ
คำตอบเร่งด่วน คือ การ Reskill ระดับชาติ
- ต้อง reskill แบบมวลชนให้ทันรอบเทคโนโลยี และต้อง “ลงมือทำ” ไม่ใช่เรียนดูอย่างเดียว.
- ดร.กอบกฤตย์ บอกว่า การ Reskill วงกว้าง ด่วน ดึงแนว Super AI Engineer มาขยาย ทุกจังหวัด/อำเภอ และ Project-based
(ทั้งหมด) ใช้ open culture รวมคอนเทนต์คุณภาพ (เช่น YouTube) ให้รัฐ สปอนเซอร์/จัดชุดเนื้อหา เข้าถึงง่าย
สมองไหล: ดึงกลับ สร้างโอกาสในไทย
- เงินสำคัญแต่ไม่พอ ต้องทำให้ไทยเป็น land of opportunity ที่คนเก่งเห็นคุณค่าและอยากสร้างงานในบ้านเรา
- รศ. ดร.ธีรณี บอกว่า ใช้จุดแข็งไทยดึงคนอยู่–คนกลับ สร้างสภาพแวดล้อมที่อยากทำงาน
- ดร.กอบกฤตย์ บอกว่า ออก สิทธิประโยชน์/VC/ตั้งง่าย ให้คนไทยที่เก่ง กลับมาเปิด startup ในไทย
- อาจารย์ปอมบ์ บอกว่า คนรุ่นใหม่ต้องถูกยอมรับ–เห็นคุณค่า เมื่อกลับมาทำเพื่อประเทศ
ความร่วมมือรัฐ–เอกชน–มหาวิทยาลัย (PPP) และ AI Consortium
- โมเดลใหม่คือ รัฐเลิกควบคุม มาสู่บทบาท สปอนเซอร์–อำนวยความสะดวก ให้เอกชนและสถาบันขับเคลื่อนงานจริง
- รศ. ดร.ธีรณี บอกว่า AI แผนชาติ เน้น collaboration ให้เอกชน/สถาบันมา orchestrate
- ดร.กอบกฤตย์ บอกว่า เดินหน้า AI Consortium งบประมาณราว 6,000 ล้านบาท ปั้น Center of Excellence ~10 เสา (แพทย์, ความปลอดภัย, Thai LLM, benchmark ฯลฯ) ด้วยโมเดล PPP
- คุณชลคิดว่า ถ้าเรื่องนี้สำคัญ เอกชนต้องร่วมลงเงิน ทุกฝ่ายมี stake จริง งานจะไปเร็ว
ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI/Indicator)
- วัดทั้งด้านเศรษฐกิจและผลลัพธ์ต่อคน ไม่ใช่ทำแล้ว “รู้สึกดี” แต่ต้องมีตัวเลขจับต้องได้
- รศ. ดร.ธีรณี บอกว่า KPI หลัก คือ AI ดัน GDP ได้เท่าไร + ตัวเลขกำลังคน จึงเน้นปั้นคนตามนี้
- คนเข้าใจ/ใช้ AI ได้ 10 ล้านคน
- นวัตกรข้ามสายอาชีพ ~90,000 คน
- Super AI Engineer ~50,000 คน
- ดร.กอบกฤตย์ บอกว่าลด ขาดดุลดิจิทัล ~200,000 ล้านบาท/ปี, ดันธุรกิจ STEM/AI ให้เกิดจริง
- อาจารย์ปอมบ์ บอกว่า ดูอัตราว่างงานลดลง, ช่องว่างสกิล–งาน แคบลง
บทสรุป/คำฝากท้ายจากวิทยากร
- หากปรับวิธีคิด–เร่งสร้างทักษะ–สร้างงานรองรับ เดินสามขาพร้อมกัน จึงมีแรงพอพาประเทศหลุดกับดัก
- ดร.กอบกฤตย์ บอกว่า
- เปลี่ยน mindset การศึกษา
- Reskill ระดับ mass + ลงมือทำ
- สร้าง ecosystem งาน
- อาจารย์ปอมบอกว่า การ Reskill จากฐานราก ต้องทำทั้งครู–โรงเรียน–มหาวิทยาลัย) และปลูกฝังการ lifelong learning
- รศ. ดร.ธีรณีบอกว่า เร่ง content ไทยแบบ agile (micro-course) + แรงบันดาลใจผ่านสื่อ/ซีรีส์ ให้ STEM เข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์เด็ก




