16 ธันวาคม 2568 World Economic Forum เผยแพร่ Report อันใหม่ ชื่อว่า 4 Futures for the New Economy: Geoeconomics and Technology in 2030 เล่าถึงอนาคตเศรษฐกิจโลกปี 2030 หน้าตาจะเป็นแบบไหนได้บ้าง โดยเขาไม่ได้บอกว่า อนาคตจะเป็นแบบนี้แน่นอน แต่ทำ 4 ฉากทัศน์ (scenarios) ให้ผู้นำธุรกิจเอาไป Test แผนว่า ถ้าโลกเปลี่ยนไปคนละทาง เราจะยังอยู่รอด/โตได้ไหม

Four-Futures-for-the-New-Economy-Geoeconomics-and-Technology-in-2030
  • โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ

2 เรื่องที่ทำให้แผนธุรกิจยุคนี้ปวดหัวคือ

  1. การเอา AI/เทคใหม่ไปทำเงินจริง (เขาใช้คำว่า commercialization) และเทคเกิดใหม่อื่น ๆ
  2. โลกแตกเป็นชิ้น ๆ ทางเศรษฐกิจ (geoeconomic fragmentation)

นอกจากนี้ โลกกำลังเจอหลายแรงกระแทกพร้อมกัน เช่น

  1. กติกาการค้า/การลงทุน/คนเก่ง/ความรู้ ไหลไม่เหมือนเดิม เพราะโลกเริ่มแบ่งขั้ว
  2. เทคใหม่ (ยกตัวอย่าง AI Agents, ระบบอัตโนมัติ, ไบโอเทค) มาเร็วมาก แต่ดันพ่วงคำถามเรื่องความปลอดภัย ความเป็นธรรม การกำกับดูแล
  3. ตลาดการเงินแกว่ง สังคมมีหนี้สูง คนแก่เพิ่ม ความเห็นต่างรุนแรงขึ้น และผลกระทบสภาพอากาศยังอยู่

แกนที่ใช้สร้างฉากทัศน์มี 2 แกนใหญ่:

  1. แกนภูมิรัฐศาสตร์ (โลกค่อนข้างนิ่งและมีกติกา vs โลกปะทะ แตกเป็นขั้ว)
  2. ความเร็วและความกว้างของการใช้เทคโนโลยี (ใช้เร็วและทั่วถึง vs ใช้ช้าและกระจุก)

ตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่จะเปลี่ยนทิศ ต่างกันในแต่ละโลก

  • ตารางนี้ไม่ได้ให้ตัวเลขปี 2030 แบบฟันธง แต่ให้ทิศทางว่า ในแต่ละฉากทัศน์ แนวโน้มจะขึ้น/ลง เช่น
    • ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์
    • สัดส่วนงานธุรกิจที่ทำด้วยเทคโนโลยี
    • อัตราโตของ GDP โลก
    • แรงกดดันซัพพลายเชน
    • ภาษีนำเข้าเฉลี่ยของสหรัฐฯ
    • ความเหลื่อมล้ำค่าแรง (ตัวชี้วัด D9/D1)
    • ความผันผวนราคาพลังงาน
    • ความเชื่อใจสื่อ

4 ฉากทัศน์เศรษฐกิจโลกแบบละเอียด

Scenario 1: Digitalized Order (โลกนิ่งขึ้น + ใช้เทคเร็วและกว้าง)

  • โลกเหมือนเริ่มคุยกันรู้เรื่องมากขึ้น โดยเฉพาะความสัมพันธ์มหาอำนาจที่ทำให้เกมการค้าไม่บานปลาย และเทคใหม่ถูกเอาไปใช้จริงเร็วขึ้นทั่วโลก
  • สิ่งที่เกิดขึ้น
    • เศรษฐกิจ: การใช้เทคกว้างช่วยให้ผลิตภาพดีขึ้น ทำให้ GDP โลกกลับมาแรง มากกว่า 4% ต่อปีภายใน 2030 แต่บางประเทศยังเสี่ยงเจอช็อกราคา
    • การค้า/การลงทุน: ของจริงกลับมานิ่งขึ้น แต่ดิจิทัลและบริการโตแบบก้าวกระโดด ประเทศที่พร้อมเรื่องดิจิทัลและมีคนรุ่นใหม่จะดึงเงินทุนเก่ง
    • แรงงาน: เทคถูกใช้เร็ว → งานหลายอาชีพโดนปรับโครงสร้างแรง ค่าแรงยิ่งแยกชนชั้น เพราะคนทักษะสูงได้เปรียบ และการจ้างงานข้ามประเทศผ่านดิจิทัลทำให้แรงต่อรองแรงงานบางกลุ่มลดลง ประเทศที่ปรับการศึกษา/รีสกิลทันจะรับแรงกระแทกได้ดีกว่า
    • พลังงาน: การใช้ AI ดันไฟฟ้าเพิ่ม แต่ตลาดพลังงานยังนิ่งได้เพราะความร่วมมือด้านสภาพอากาศและเทคสีเขียวเดินหน้า อย่างไรก็ดี วัตถุดิบสำคัญ (เช่น แร่บางชนิด) อาจกลายเป็นคอขวดทำให้เปลี่ยนผ่านช้าลง
    • การเมืองในประเทศ: ถึงโลกจะนิ่งขึ้น แต่ในประเทศยังเถียงกันแรงเรื่องความเป็นส่วนตัว งานที่หาย ความเหลื่อมล้ำ และข่าวปลอม/ข้อมูลบิดเบือนทำให้ความไว้ใจสถาบันสั่นได้
    • สภาพแวดล้อมธุรกิจ: ธุรกิจเริ่มเลิกโหมดดับไฟ กลับมาลงทุนยาวมากขึ้น แข่งขันกันที่ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ความเร็วในการใช้เทค ความเข้าใจข้อมูล และการดึงคนเก่ง
  • ความเสี่ยง-โอกาส-แนวทางของแต่ละโลก
    • ความเสี่ยง: คนตกงานจากเทค, หุ้น/สินทรัพย์ดิจิทัลถูกดันจนแพง, องค์กรชะล่าใจไม่ลงทุนความทนทาน, คนเก่งขาดและทักษะไม่ตรง
    • โอกาส: ผลิตภาพพุ่ง, โมเดลแพลตฟอร์ม/บริการดิจิทัลโต, กฎ/มาตรฐานข้ามประเทศเข้ากันมากขึ้นทำให้ต้นทุนทำธุรกรรมลด
    • แนวทาง: เปิดเกมต่างประเทศแบบเปิดกว้างเชิงยุทธศาสตร์, ทำกลยุทธ์ดิจิทัลจริงจัง, ลงทุน reskill + โครงสร้างพื้นฐาน + ธรรมาภิบาลเทค

Scenario 2: Cautious Stability (โลกนิ่งขึ้น + ใช้เทคช้าและกระจุก)

  • โลกค่อนข้างสงบขึ้น ราคาตลาดไม่ช็อกบ่อย แต่เศรษฐกิจไม่ค่อยมีแรงส่ง เพราะเทคที่เคยถูกคาดหวังว่าจะช่วยมาก กลับช่วยได้ไม่ทั่วถึง
  • สิ่งที่เกิดขึ้น
    • เศรษฐกิจ: GDP โลกโตแบบอืด ๆ ประมาณ 2–3% และต่ำกว่าที่เคยหวัง เงินเฟ้อนิ่งขึ้น แต่ตลาดผันผวนเพราะหุ้น/มูลค่าเทคถูกปรับฐาน (เอกสารพูดถึงลักษณะคล้ายฟองสบู่ AI แตกปลายทศวรรษ)
    • การค้า/การลงทุน: ฟื้นตัวจากความปั่นป่วนกลางทศวรรษ แต่โตช้าลง ซัพพลายเชนปรับตามรอยแยกเศรษฐกิจโลก ประเทศที่ผลิตสินค้าระดับกลาง ๆ อาจได้จังหวะดีช่วงหนึ่ง แต่บางประเทศปรับตัวไม่ทัน
    • แรงงาน: ไม่ได้ถูกแทนที่หนัก เพราะยังไม่เกิดระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ แต่ตลาดงานยัง 2 โลก คือ คนทักษะสูงกระจุกในฮับใหญ่ ส่วนที่เหลือค่าแรงโตช้า เพราะเทคไม่ได้กระจายไปสร้างงานใหม่วงกว้าง
    • พลังงาน: ราคาพลังงานนิ่งขึ้น แต่การเปลี่ยนผ่านพลังงานไม่ได้คืบมาก ทั้งเทคพลังงานใหม่และพลังงานสะอาดเดินช้าลง (พลังงานหมุนเวียน ยังต่ำกว่า 50%
    • นโยบายในประเทศ: การเมืองนิ่งขึ้นบ้าง แต่คนยังหงุดหงิดเรื่องโอกาสน้อยและช่องว่างดิจิทัล รัฐเองก็ลดความพยายามดันเทคขั้นสูงเพราะไม่เห็นผลชัด
    • สภาพแวดล้อมธุรกิจ: คาดการณ์ง่ายขึ้น แต่หลายบริษัทเจ็บจากการลงทุนเทคที่ไม่คุ้ม ทำให้งบดุลตึง และมีพื้นที่ลงทุนน้อยลง
  • ความเสี่ยง-โอกาส-แนวทางของแต่ละโลก
    • ความเสี่ยง: ช่องว่างระหว่างบริษัท/ประเทศที่นำเทคกับที่ตามไม่ทัน, เศรษฐกิจอืดทำให้คนไม่กล้าจับจ่าย/ลงทุน, ลงทุนเทคแล้วไม่คุ้มเกิดการใช้เงินผิดที่
    • โอกาส: พัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไปให้เข้าพื้นที่/หน้างาน, ซัพพลายเชนและระบบนวัตกรรมไหลไปตลาดใหม่/ตลาดกำลังโต, กฎนิ่งขึ้นทำให้วางแผนง่าย
    • แนวทาง: รักษาแกนธุรกิจให้แข็ง, ไม่ใช่แค่ซื้อเทค แต่ต้องทำ R&D/ระบบนวัตกรรมในบริษัท, ใช้ M&A/พาร์ตเนอร์/รวมห่วงโซ่คุณค่าให้เกิดผลจริง, เสริมความทนทานด้านพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน

Scenario 3: Tech-based Survival (โลกปั่นป่วน + ใช้เทคเร็ว & กว้าง)

  • โลกแบ่งขั้วแรงขึ้น มีสงครามการค้า แข่งแร่ แข่งเทค แต่ในขั้วของตัวเองกลับ เร่งใช้เทคหนักมาก เพราะต้องลดต้นทุนและรับมือความปั่นป่วน
  • สิ่งที่เกิดขึ้น
    • เศรษฐกิจ: มีความคึกคักจากเทค แต่โตแบบเปราะบาง เพราะโลกไม่ร่วมมือกัน ความปั่นป่วนทำให้เงินเฟ้อกดดัน และรัฐใช้เงินหนักทั้งด้านความมั่นคงและเทค จนเสี่ยงเรื่องฐานะการคลัง
    • การค้า/การลงทุน: แตกย่อยเป็นบล็อกมากขึ้น ตั้งกำแพงการค้า/ลงทุนเพิ่ม ทำ Supply Chain แบบแยกชุด (ซ้ำซ้อนแต่จำเป็น) เพื่อไม่ให้โดนล็อกคอจากฝ่ายตรงข้าม
    • แรงงาน: บริษัทเร่งระบบอัตโนมัติ งานโดนกระแทกจริง มีปัญหาทักษะไม่ตรง คนย้ายประเทศทำงานยากขึ้น ประเทศกำลังพัฒนาโดนผลกระทบเพราะเงินลงทุนและงานย้ายออก/ชะลอ
    • พลังงาน: ราคาพลังงานขึ้นและแกว่ง เพราะประเทศต่าง ๆ เล่นเกมพึ่งพาน้อยลงและใช้ทรัพยากรเป็นอาวุธ ขณะที่ AI กินไฟเพิ่ม ทำให้ความเสี่ยงด้านพลังงานสูง
    • นโยบายในประเทศ: ข่าวปลอม/ข้อมูลบิดเบือนในสังคมทำให้ความแตกแยกรุนแรงขึ้น ประเทศที่ลงทุนเรื่องความปลอดภัยดิจิทัล ระบบคนเก่ง และสวัสดิการรองรับแรงงานได้ดี จะรับแรงกระแทกได้มากกว่า
    • สภาพแวดล้อมธุรกิจ: ธุรกิจเข้าสู่โหมด Security & Resilience เต็มตัว ใครมีเงิน มีข้อมูล มีทีมรับมือภูมิรัฐศาสตร์ และระบบงานปรับไว จะได้เปรียบมาก ธุรกิจเล็กอาจเข้าถึงโอกาสดิจิทัลไม่เท่ากัน ทำให้ความเหลื่อมล้ำระหว่างบริษัทเพิ่ม
  • ความเสี่ยง-โอกาส-แนวทางของแต่ละโลก
    • ความเสี่ยง: คอขวดทรัพยากร/จุดยุทธศาสตร์ที่โดนล็อกได้, ความเสี่ยงไซเบอร์และการใช้เทคผิดทาง, เงินแพง คนเก่งขาด ภาพลักษณ์พังจากข้อมูลบิดเบือน, ธุรกิจถูกดึงเข้าเกมการเมืองและต้องพึ่งพันธมิตร
    • โอกาส: ทำพันธมิตรเพื่อร่วมผลิต/แชร์ความเสี่ยง, แชมเปี้ยนท้องถิ่น/ภูมิภาคเกิด, โอกาสย้ายฐาน/ใกล้ตลาด (onshore/nearshore), ใช้เทคช่วยบริหารความเสี่ยงและมองล่วงหน้า, วิกฤตเร่งนวัตกรรม
    • แนวทาง: ทำงานกับรัฐและอุตสาหกรรมให้เป็นทิศเดียวกัน, สร้างระบบระดับภูมิภาคและแผน localization, ทำซัพพลายเชนแบบแยกส่วนได้และมีความคล่องตัวการเงิน, พัฒนาคนท้องถิ่นและทักษะข้ามสาย

Scenario 4: Geotech Spheres (โลกปั่นป่วน + ใช้เทคช้าและกระจุก)

  • โลกปะทะหนักขึ้น ประเทศปิดมากขึ้น เทคถูกใช้เป็นเรื่องความมั่นคง คนเริ่มไม่ไว้ใจเทค และเทคขั้นสูงอยู่ในมือไม่กี่ราย/ไม่กี่อุตสาหกรรม
  • สิ่งที่เกิดขึ้น
    • เศรษฐกิจ: ความผันผวนสูงมาก เสี่ยงถดถอย เงินเฟ้ออาจเป็นเลขสองหลัก หนี้สาธารณะโลกสูงขึ้นมาก (รายงานอ้าง เกิน 102 ล้านล้านดอลลาร์ ภายใน 2030)
    • การค้า/การลงทุน: การค้าและการลงทุนโลกหดตัวจากจุดพีกกลางทศวรรษ มาตรการกีดกันและกฎเลือกปฏิบัติเพิ่ม ซัพพลายเชนสั้นลง แข็งขึ้น และการเมืองเข้มข้น มากขึ้น
    • แรงงาน: งานบางส่วนกลับประเทศ (reshore) ทำให้ตลาดแรงตึง คนมีอำนาจต่อรองมากขึ้น ค่าแรงอาจขึ้นและความเหลื่อมล้ำค่าแรงลดลงบ้าง แต่รายได้ที่เพิ่มถูกเงินเฟ้อกินกลับ
    • พลังงาน: แกว่งแรง มีช็อกบ่อย (รายงานยกภาพราคาน้ำมันเบรนท์พุ่งเกิน 100 ดอลลาร์/บาร์เรลบ่อย) และประเทศเล่นเกมทรัพยากรหนักขึ้น ทำให้เปลี่ยนผ่านพลังงานยิ่งไม่เท่ากัน
    • นโยบายในประเทศ: ความไม่มั่นคงระหว่างประเทศไปกระตุ้นความสุดโต่งในประเทศ รัฐทุ่มงบกลาโหมจนต้องแลกกับงบสุขภาพ/การศึกษา สังคมตึงมือ
    • สภาพแวดล้อมธุรกิจ: รัฐแทรกตลาดมากขึ้น อุตสาหกรรมที่รัฐหนุน (เช่น ผลิต วัตถุดิบ กลาโหม เกษตร ยา ฯลฯ ตามรายงานยกตัวอย่าง) จะได้เปรียบ ธุรกิจเล็กนอกกลุ่มยุทธศาสตร์จะเข้าถึงเงิน/เทค/คนยากขึ้น
  • ความเสี่ยง-โอกาส-แนวทางของแต่ละโลก
    • ความเสี่ยง: ความขัดแย้งยกระดับและเอาเทค/ซัพพลายเป็นอาวุธ, พื้นที่ขาดนวัตกรรม เพราะเข้าถึงเทคไม่ได้, เงินแพง-นักลงทุนหด-ผู้บริโภคไม่มั่นใจ, ประเทศกั้นคนเก่ง, รัฐลงมาเยอะจนตลาดเพี้ยน
    • โอกาส: ธุรกิจในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่รัฐหนุนอาจโต, บริษัทที่มีฐานอยู่ประเทศที่ยังคุยกับหลายฝ่ายได้จะได้ความยืดหยุ่น, นวัตกรรมแบบประหยัดทรัพยากร/ทดแทน/หมุนเวียนจะสำคัญขึ้น
    • แนวทาง: ตัดสิ่งไม่จำเป็น โฟกัสแกนหลัก, เดินเกมให้สอดคล้องนโยบายความมั่นคง, ทำพาร์ตเนอร์หลายฝั่งลดการพึ่งตลาดเดียว, ลงทุนระบบคนในประเทศและรักษาคนเก่ง

How businesses can prepare today for any scenario

  • ของที่เอาไปใช้ได้จริงสุด เพราะเป็นรายการสิ่งที่ควรเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ไม่ว่าโลกจะออกหน้าไหน มี 9 เรื่อง
  1. ทำแกนธุรกิจให้แข็ง (Strengthen core operations)
    • ทำของหลักให้กำไรดี ต้นทุนคุมได้ กระบวนการไม่รั่ว เพราะถ้าแกนอ่อน ต่อให้เห็นโอกาสก็ไม่มีแรงลงทุน
  2. มีทีมดูภูมิรัฐศาสตร์แบบจริงจัง (Develop geopolitical function & intelligence)
    • ไม่ใช่แค่ตามข่าว แต่ต้องแปลเป็น ผลกระทบต่อซัพพลายเชน ลูกค้า กฎ การลงทุน และมีแผนรับมือ
  3. ทำระบบมองล่วงหน้า + ใช้ข้อมูลช่วยตัดสินใจ (Foresight & data-driven decision-making)
    • มีการทำฉากทัศน์ วางสัญญาณเตือนล่วงหน้า ใช้ข้อมูลและฟีดแบ็กแบบใกล้เรียลไทม์ เพื่อปรับแผนไว
  4. ซัพพลายเชนต้องยืดหยุ่นและทน (Supply chain resilience & agility)
    • กระจายแหล่งผลิต/แหล่งวัตถุดิบ ใกล้ตลาดเท่าที่จำเป็น ใช้การมอนิเตอร์และเครื่องมือดิจิทัลช่วยให้รู้เร็ว-แก้ไว
  5. ลงทุนใช้เทคใหม่ให้สเกลได้จริง (Adopt & scale emerging tech)
    • ไม่ใช่แค่ทดลองแล้วจบ ต้องผูกกับงานจริง มีพื้นที่ทดลองแบบปลอดภัย และมีการกำกับดูแลการใช้เทค
  6. โครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (Strengthen critical infrastructure)
    • ทั้งดิจิทัล/ข้อมูล/ระบบขนส่ง/พลังงาน และความปลอดภัยไซเบอร์ เพราะโลกหน้าไหนก็โดนกระทบได้
  7. จัดสรรเงินแบบคล่อง (Agile capital allocation)
    • ทำงบแบบยืดหยุ่น ย้ายเงินไปโปรเจกต์ที่จำเป็นได้ไว มีเงินสำรอง และมีระบบตัดสินใจที่ไม่ช้า
  8. เทคต้องเดินคู่คน (Align technology & human capital)
    • ลงทุนอัปสกิล/รีสกิล/โยกย้ายคนให้ทัน และทำให้คน “ไว้ใจ” ว่าเทคมาช่วย ไม่ใช่มาแทนแบบไร้แผน
  9. สร้างพันธมิตร (Deepen partnerships & alliances)
    • โลกแตกขั้วหรือไม่แตก พันธมิตรช่วยเรื่องสเกล แบ่งความเสี่ยง และเข้าถึงทรัพยากร/ความรู้ได้เร็ว

ข้อสรุป:

ปี 2030 เกมธุรกิจจะถูกกำหนดโดย โลกแบ่งขั้วมากแค่ไหน และ องค์กรใช้เทคได้ลึกและกว้างแค่ไหน และทั้ง 2 เรื่องจะลากซัพพลายเชน คน พลังงาน และความเสี่ยงให้เปลี่ยนพร้อมกัน

Source:

World Economic Forum