ศ.วิชัย กล่าวเริ่มต้นว่า ระบบเศรษฐกิจกำลังถูก Disruption ของเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้ ประเทศไทยเราจะสร้าง Infrastructure ให้เข้าสู่โลกของ Industrial Revolution ที่สำคัญที่สุด อย่าง Generative AI ได้อย่างไร
ศ.วิชัย จึงนำเสนอ Blueprint ด้านการพัฒนาประเทศไทย 3 ประการ
การพัฒนาประเทศไทย 3 ด้าน
1. ประการแรก คือ ร่างรัฐธรรมนูญได้อีกฉบับหนึ่ง
ศ.วิชัยเสนอว่า เอา Intellectual Property Clause เข้าไปในรัฐธรรมนูญสักมาตราหนึ่ง
ศ.วิชัย ยกตัวอย่าง กฎหมายของอเมริกา เมื่อ 200 ปีก่อน เน้นคุ้มครองงานสิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์, ศิลปกรรมศาสตร์, ศิลปศาสตร์ แล้วก็คุ้มครองในระยะเวลาจำกัด
เพราะฉะนั้น กฎหมายศาลอเมริกา สร้างขึ้นมาเพื่อคุ้มครองผู้สร้างสรรค์งาน ไม่ได้มองถึงสังคม เน้นกับประเทศที่เป็นฐานของประเทศอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จมาก ประกอบด้วยคนที่มีความคิดสร้างสรรค์และกล้าที่จะมองออกจากสิ่งที่อยู่ในกรอบของยุโรป จึงกลายเป็นประเทศที่มีการสร้างสรรค์มากที่สุด
2. ประการที่ 2 คือ การสร้างดุลยภาพกับการให้ประโยชน์แก่ผู้สร้างสรรค์และคุ้มครองงานของผู้สร้างสรรค์ชั่วระยะเวลาจำกัด
ศ.วิชัยกล่าวว่า ถ้าจะมีรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับคุ้มครองผู้สร้างสรรค์งาน เราต้องมีรัฐธรรมนูญที่รอบด้าน นอกจากคุ้มครองผู้สร้างสรรค์แล้ว ยังต้องให้ประชาชนสามารถเข้าถึงงานสร้างสรรค์ และองค์ความรู้ได้อย่างทั่วถึง
เช่น เริ่มจากการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ต่อมาเป็นสิทธิบัตร ต่อมาเป็นคุ้มครองการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตอนแรก ศิลปะประยุกต์มาเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์จนมีลักษณะเฉพาะ สามารถใช้เป็นเครื่องหมายการค้าได้ด้วย
3. ประการที่ 3 คือ การร่วมมือและการลงทุนจากภาครัฐ
ศ.วิชัยกล่าวว่า เขาไม่อยากให้ภาคอุตสาหกรรมในไทยประสบความสำเร็จเพียงอย่างเดียว ต้องมีการวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้สิทธิบัตร หรือ อนุสิทธิบัตรการออกแบบต่าง ๆ แต่นักการอุตสาหกรรม นักพาณิชกรรมมองว่าการลงทุนด้านอื่นดีกว่า เพราะฉะนั้น รัฐบาลต้องส่งเสริมการลงทุนและการวิจัย (Research and Development: R&D) ซึ่งโชคดีมากที่มีกระทรวงอุดมศึกษา มาบริหารต่อ
ปัญหาการลงทุนวิจัยและพัฒนาในไทย
ศ.วิชัยเห็นถึงปัญหาการบริหารเงินและสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากงานวิจัย ไม่เกิดประสิทธิภาพ เนื่องจากรัฐให้เงินก้อน มาสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในสถาบันการศึกษา, สถาบันเทคโนโลยีในการวิจัยต่าง ๆ แล้วให้ Incentive กับเงินก้อนนี้ว่า สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดขึ้นเป็นของผู้วิจัย และผู้วิจัยก็อาจจะต้องแบ่งให้กับมหาวิทยาลัย ไปต้องแบกให้กับสถาบันที่ตรงสังกัด
แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีไอเดีย คือ ทรัพย์สินทางปัญญาที่สร้างโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะต่าง ๆ ให้กับการเจริญเติบโตของความอยู่ดีกินดีในประเทศไทย มี Technology Licensing Office
Technology Licensing Office
ศ.วิชัยกล่าวว่า คนที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์, MBA เพื่อ deal กับธุรกิจ และต้องมีความรู้ทางกฎหมายตรงๆ ด้วย จะสามารถเข้าใจและดำเนินการด้าน Technology Licensing Office
ส่วนกรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ต้องเข้ามาช่วยในการยกร่าง licensing agreement ต่าง ๆ ว่าจากแหล่งทุนให้ผู้วิจัย ผู้วิจัยทำสัญญากับผู้ร่วมลงทุนแล้วก็แบ่งปันผลประโยชน์กันอย่างไร รวมทั้งผู้บริหารจัดการก็คือ Technology Licensing Office นี้ด้วย
หากไม่มีการบริหารจัดการอย่างนี้ที่เกิดขึ้น ก็จะไม่มีคนมาดูแลให้ก็คือ สถาบันบริหารจัดการที่มีนักกฎหมาย มีผู้บริหารสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาประหนึ่ง และมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ด้วย
ศ.วิชัย บอกว่า ผมจึงคิดว่าควรจะมี Intellectual Property clause ในรัฐธรรมนูญใหม่เลย โดยระบุว่า
Intellectual Property clause ในรัฐธรรมนูญ
1. รัฐต้องส่งเสริมการค้นคว้าและวิจัยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาเป็นหน้าที่ของรัฐ
2. รัฐต้องให้ความคุ้มครองกับประชาชนที่สามารถเข้าถึงและได้รับประโยชน์จากงานสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
3. การให้ประโยชน์ให้สิทธิ เจ้าของที่ทำ Exploitation ของงานนั้นแก่ผู้สร้างสรรค์งานหรือผู้ลงทุนจะเป็นฐานในการทำงานต่อไป
ข้อสรุป:
AI ไม่ใช่แค่คลื่น Disruptor แต่คือ “มรสุม” ที่เปลี่ยนเกมทั้งเศรษฐกิจและกฎหมาย ตั้งแต่กรณี DeepSeek ที่ท้าทายยักษ์ใหญ่ระดับโลก การถกเถียงเรื่อง กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ที่ต้องคุ้มครองทั้งผู้สร้างและสิทธิประชาชน ไปจนถึงความท้าทายของ Generative AI ที่เรียนรู้จากข้อมูลละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว สะท้อนว่าไทยต้องเร่งปรับตัว ทั้งปฏิรูปกฎหมาย ลงทุน R&D อย่างจริงจัง และเปิดรับความรู้ต่างประเทศ เพื่อไม่ตกขบวน ตามประเทศอื่นให้ทัน