การใช้ ChatGPT มากไป ทำให้นักเรียน
คิดวิเคราะห์น้อย เสี่ยงลอกงาน ข้อมูลอาจผิด
แต่การใช้เป็นตัวช่วยเสริมกับครูเป็นระยะเวลา 4–8 สัปดาห์
โดยฝึกแก้ปัญหา–ออกโจทย์เฉพาะ → ผลการเรียนและความเข้าใจดีขึ้น
6 พฤษภาคม 2568 เว็บ Nature ได้เผยแพร่งานวิจัยจากจีน ถึงเรื่อง the effect of chatgpt on students’ learning performance, learning perception, and higher-order thinking: insights from a meta-analysis เป็น หลักฐานชุดใหญ่ ว่า ChatGPT ส่งผลต่อ 3 เรื่องหลักของผู้เรียน-ผลสัมฤทธิ์, มุมมองการเรียน, และ ทักษะคิดขั้นสูงมาก-น้อยอย่างไร
1. ChatGPT ช่วยเด็กประถมได้จริง
ใครคิดว่า AI ใช้ได้แค่กับนักเรียนใหญ่ๆ ต้องรู้สึกผิด งานวิจัยพบว่าเด็กประถมใช้ ChatGPT สร้างแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ หรือฝึกแต่งประโยคภาษาอังกฤษ ได้ผลดีกว่าที่คาด
ทางออก คือ ถ้าลูกคุณติดเกม ลองเปลี่ยนให้ ChatGPT ช่วยสอนโจทย์ง่ายๆ แทน สอนได้ทุกวัยถ้าใช้เป็น
2. ใช้ ChatGPT ผิดวิธี ได้ผลตรงข้าม
มีงานวิจัยที่ใช้ ChatGPT แล้วผลการเรียนแย่ลง
เช่น นักเรียน EFL ใช้เขียนเรียงความ แต่กลับเข้าใจผิดเพราะเชื่อคำตอบจาก AI แบบไม่ตรวจสอบ
ทางออก คือ อย่าปล่อยให้เด็กใช้ AI แบบไม่มีครูกำกับ! ต้องสอนให้ ตั้งคำถามกับข้อมูล ไม่ใช่ก๊อปแล้วจบ
3. ใช้ ChatGPT 1 นาที แต่ต้องคิดเอง 10 นาที
นักเรียนที่ใช้ ChatGPT แก้โจทย์คณิตศาสตร์ ได้ผลดีที่สุดเมื่อต้อง อธิบายวิธีคิดต่อ หลังได้คำตอบจาก AI
ทางออก คือ ถ้าคุณใช้ ChatGPT ทำรายงาน อย่าลอก ลองถามตัวเองว่า ฉันเข้าใจสิ่งที่ทำไหม แล้วเขียนใหม่เป็นของตัวเอง
4. ใช้ ChatGPT 4–8 สัปดาห์ = ฟอร์มทักษะพอดีตัว
งานวิจัยชี้ว่าใช้ ChatGPT นานเกิน 8 สัปดาห์ เสี่ยงต่อการพึ่งพาเกินไป แต่ถ้าใช้ 1–4 สัปดาห์ ได้ผลแค่ปานกลาง
ทางออก คือ ใช้ AI แบบแบ่งเป็นช่วง เช่น ฝึกเขียนเรียงความก่อนสอบ 4 สัปดาห์ แล้วค่อยลดลง จะได้ไม่ติด AI แบบไม่รู้ตัว
ข้อสรุป:
งานนี้จึงบอกได้ว่า AI ไม่ได้แย่งสมองเด็ก ถ้าครูออกแบบการใช้ให้ถูกทาง พร้อมชี้โพรงว่าควรศึกษาต่ออย่างไรในบริบทเมืองไทยและระดับประถม-มัธยมต่อไปครับ