เมื่อข้อมูลกลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ การตัดสินใจด้วย “ความรู้สึก” หรือ “สัญชาตญาณ” อาจไม่เพียงพออีกต่อไป สิ่งที่ขาดหายไป คือ Insight แล้วผู้นำอย่างคุณจะใช้ข้อมูลมหาศาลที่มีอยู่ในมือ มาสร้างเป็นกลยุทธ์ที่แม่นยำและได้ผลลัพธ์จริงได้อย่างไร
สรุป Session: From Data to Decisions: The AI Revolution in MarTech จากงาน Martech Expo 2025 Visionary Stage โดย คุณอุกฤษฎ์ ตั้งสืบกุล บริษัท Real Smart
เนื้อหาทั้งหมด
คุณอุกฤษฎ์ เล่าว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีการสร้างข้อมูลมากกว่า 90% ของ Data ทั้งหมดที่มนุษยชาติเคยสร้างมาตลอดประวัติศาสตร์ ลองคิดดูว่า ในทุกๆ 1 นาที คนทั่วโลกค้นหา Google 6 ล้านครั้ง อัปโหลดคลิปหลายพันชั่วโมง และโต้ตอบบนโซเชียลมีเดียแบบไม่หยุดหย่อน หรือแม้กระทั่งการ “หายใจ” บนแพลตฟอร์มดิจิทัล
แต่ปริมาณ Data มหาศาลเหล่านี้มักกลายเป็น “Noise” (เสียงรบกวน) แทนที่จะเป็น “Voice” (เสียงของผู้บริโภค) ที่องค์กรต้องการจริงๆ สิ่งที่เราขาดหายไปไม่ใช่ข้อมูล แต่คือ Insight หรือการนำ Data มาวิเคราะห์เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
ถ้าการตัดสินใจที่ก่อให้เกิดผลกระทบเนี่ยมันเกิดจาก Insight ที่มีคุณภาพแล้วมันก็เกิดจากปริมาณ Data ที่เหมาะสมและนำไปใช้ได้จริง ผมเรียกสิ่งนี้ว่า Impossible Triangle
Impossible ประกอบด้วย
1. Good ตัดสินใจต้องมีความแม่นยำ
2. Fast การตลาดเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์
3. Cheap ต้นทุนทางเวลา ที่ประหยัดแล้วทำให้องค์กรเสียหายน้อยลง
ยุคนี้ของพวกเราครับไม่ใช่การเก็บ Data ครับ Challenge ของปัจจุบันนี้คือทำอย่างไรผู้บริหารคนทำงานถึงจะตัดสินใจได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่าง
ร้านกาแฟที่มีข้อมูลการขายจาก POS ระบบ หากไม่มีการวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบว่าลูกค้าชอบสั่งอะไรในเวลาใด หรือโปรโมชันไหนที่กระตุ้นยอดขายได้ดีที่สุด ข้อมูลเหล่านั้นก็เป็นเพียงตัวเลขที่ไร้ค่า
ปัญหาหลักของการใช้ Data ในธุรกิจสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นใหญ่:
1. ข้อมูลมาช้า = การตัดสินใจช้า
ธุรกิจที่ใช้เวลานานเกินไปในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล มักจะพลาดโอกาสทองในการแข่งขัน การตัดสินใจช้าอาจนำไปสู่ความเสียหายทางธุรกิจ เช่น การปล่อยให้คู่แข่งแซงหน้า หรือการตอบสนองต่อกระแสตลาดที่ล่าช้า
2. ไม่แน่ใจว่าตัดสินใจจาก Data จริงไหม?
บางครั้งเราไปพึ่งสัญชาตญาณ เพราะไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่เรามีนั้นเป็นข้อมูลที่ถูกต้องหรือครอบคลุมเพียงพอหรือไม่ ความไม่แน่ใจนี้ที่ทำให้การตัดสินใจไม่มีประสิทธิภาพ
3. คู่แข่งเร็วกว่าและฉลาดกว่า
แม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด แต่หากคู่แข่งสามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากกว่า ก็อาจทำให้คุณเสียเปรียบในสนามแข่งขัน
คุณอุกฤษฎ์ เล่าตัวอย่าง ที่สามารถเปลี่ยนความซับซ้อนให้กลายเป็นความเรียบง่าย
ตัวอย่างที่สามารถเปลี่ยนความซับซ้อนให้กลายเป็นความเรียบง่าย
1. การดับเพลิงบนโซเชียลมีเดีย (Social Monitoring)
การตรวจสอบข้อความจำนวนมาก บนโซเชียลมีเดียแบบเรียลไทม์ เพื่อตรวจจับสัญญาณลบ (Negative Signals) เช่น คอมเมนต์ดราม่า หรือ Feedback ที่อาจเป็นวิกฤต หากไม่ได้รับการจัดการทันเวลา
ประโยชน์สำหรับกลุ่มเป้าหมาย:
- ลดความเสี่ยงด้านชื่อเสียงของแบรนด์
- ประหยัดต้นทุนจากการป้องกันวิกฤตที่อาจเกิดขึ้น
- เพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน
นำไปใช้อย่างไร:
- ผู้นำสามารถใช้ AI ในการตรวจสอบและแจ้งเตือนเมื่อมีสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- วางกลยุทธ์การสื่อสารเพื่อรับมือกับกระแสลบได้อย่างรวดเร็ว
2. การออกแบบสินค้าใหม่ (New Product Development)
การใช้ AI มาเพิ่มคุณค่าให้กับข้อมูลจากพฤติกรรมลูกค้า เช่น การโพสต์ของกลุ่มเป้าหมายบนโซเชียลมีเดีย เพื่อเข้าใจความต้องการที่แท้จริง เช่น เด็กรุ่นใหม่ต้องการ “รองเท้าที่ใส่สบายเหมือนไม่ได้ใส่” ซึ่งข้อมูลนี้ถูกนำมาใช้พัฒนาสินค้าใหม่ที่ตอบโจทย์ตลาด
ประโยชน์สำหรับกลุ่มเป้าหมาย:
- เพิ่มโอกาสในการสร้างนวัตกรรมที่โดนใจผู้บริโภค
- สร้างรายได้ใหม่จากผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาตาม Insight ของลูกค้า
- ลดความเสี่ยงในการพัฒนาสินค้าที่ไม่ตอบโจทย์ตลาด
นำไปใช้ได้อย่างไร:
- ผู้บริหารสามารถนำ Insight จากข้อมูลมาวางแผนกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ใหม่
ใช้ AI วิเคราะห์เทรนด์และพฤติกรรมลูกค้า เพื่อทำนายความต้องการในอนาคต
ข้อสรุป:
การมีข้อมูลจำนวนมาก ไม่ได้หมายความว่า เราจะสำเร็จ สิ่งสำคัญคือ การนำข้อมูลนั้นมาวิเคราะห์เพื่อสร้าง Insight และใช้มัน เพื่อตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการสนับสนุนจาก AI จะก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ และสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนในระยะยาว
Source:
งาน Martech Expo 2025 ย้อนหลังจาก Futureskill